ยาและการใช้ยา


ยาและการใช้ยา
1.1ความหมายลำความสำคัญของยา
ยา คือสารที่สารหรือผลิตภัณฑ์ที่มีวัตถุประสงค์ในการใช้ให้เกิดการเปลี่ยนแปลงของร่างกาย หรืทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางทางการพยาธิวิทยา ซึ่งทำให้เกิดโรค ทั้งนี้เพื่อให้เกิดประโยชน์แก้ผู้รับยา
1.2ประเภทของยา
แบ่งออกเป็น 9 ประเภท ตามพระราชบัญญัติยา ฉบับที่ 5 พุทธศักราช 2530 ดังนี้
1.ยาแผนปัจจุบัน  หมายถึง ยาที่ใช้สำหรับใช้ประกอบวิชาเวชกรรม
2.ยาแผนโบราณ หมายถึง ยาที่ใช้สำหรับประกอบโรคศิลป์แผนโบราณ ซึ่งอยู่ในตำราแผนโบราณที่รัฐมนตรีประกาศเป็นยาโบราณ
3.ยาอันตราย หมายถึง ยาปัจจุบันหรือยาแผนโบราณที่รัฐมนตรีประกาศให้เป็นยาอันตราย
4.ยาควบคุมพิเศษ หมายถึง ยาปัจจุบันหรือยาแผนโบราณที่รัฐมนตรีประกาศให้เป็นยาควบคุมพิเศษ
5.ยาสามัญประจำบ้าน หมายถึง ยาปัจจุบันหรือยาแผนโบราณที่รัฐมนตรีประกาศให้เป็นยาสามัญประจำบ้านสามารถใช้ได้เลย ไม่ต้องอยู่ในความดูแลของแพทย์
6.ยาสมุนไพร หมายถึง ยาที่ได้จากพืช สัตว์ แร่ ที่ไม่ได้นำไปปรุงแต่งใดๆ
7.ยาบรรจุเสร็จ หมายถึง ยาแผนปัจจุบันที่ผลิตขึ้นเสร็จในรูปแบบต่างๆทางเภสัชกรรม มีบรรจุหีบห่อปิดไว้ และมีฉลากครบถ้วน
8.ยาใช้ภายนอก หมายถึง ยาปัจจุบันหรือยาแผนโบราณที่ใช้สำหรับภายนอกร่างกาย เช่น ถู ทา
9.ยาใช้เฉพาะที่ หมายถึง ยาปัจจุบันหรือยาแผนโบราณที่ใช้ได้เฉพาะที่ตามที่ระบุในฉลากเท่านั้น
1.3ประโยชน์ของการใช้ยา
   1.เพื่อรักษาโรคให้หายขาด เช่น การใช้ยาปฏิชีวนะเพื่อใช้ในการรักษาโรคติดเชื้อหรือการใช้ยาเพื่อรักษาโรคเรื้อรัง
   2.เพื่อควบคุมหรือบรรเทาอาการต่างๆ เช่น  ไอ เป็นไข้ คัน เป็นต้น
   3.เพื่อป้องกันโรค เช่น  การใช้ยาเพื่อป้องกันโรคติดเชื้อต่างๆ         ได้แก่ การฉีดวัคซีนป้องกันโรคระบาด
1.4ปัญหาและผลกระทบจากการใช้ยา
1.4.1การขาดความรู้ในการใช้ยา
    1.การใช้ยาไม่ถูกต้อง
ใช้ยาไม่ถูกต้อง  ได้แก่ ไม่ถูกโรค บุคคล เลา วิธี ขนาด ประเภท ทำให้การรักษาไม่มีประสิทธิภาพ
    2.การถอนหรือหยุดยาทันที
ยาบางชนิดมีผลต่อการรักษา หากใช้ไม่ถูกวิธี  อาจทำให้เกิดผลข้างเคียงต่อร่างกายได้
    3. การใช้ยาร่วมกันหลายชนิดหรือร่วมกับชนิดอื่น
การใช้ยาร่วมกันหลายขนานในการรักษาโรค โดยยาดังกล่าวจะส่งผลทำให้เราได้รับยาเกินขนาดและเกินความ    จำเป็น
1.4.2 คุณภาพของยา
    1.การเก็บ ยาที่ได้มาตรฐานแต่เก็บรักษาไม่ถูกต้อง อาจทำให้เสื่อมคุณภาพได้เร็ว
    2.การผลิต ยาที่ผลิตต่ำกว่ามาตรฐานหรือยาปลอม ซึ่งอาจมีผลต่อการรักษาโรค
   1.4.3 พยาธิสภาพของผู้ใช้ยา
พยาธิสภาพของผู้ใช้ เช่น พันธุกรรม สภาพร่างกายของแต่ละบุคคล ซึ่งมีผลต่อการใช้ยา  โดยบุคคล
แต่ละคนย่อมมีความแตกต่างกัน ตลอดจนประเภทของยาที่ใช้อาจแตกต่างกัน
1.5 สาเหตุของการใช้ยาผิดหรือการติดยา
   1.เลือกซื้อยาที่มีราคาถูก และหาซื้อได้ง่าย หรือซ้อตามความนิยม
   2.มีพฤติกรรมความเชื่อของบุคคลต่อยาที่ใช้แบบผิดๆ อาจเป็นผลเสียที่ทำให้เกิดโรคแทรกซ้อนขึ้น
   3.การหลงเชื่อคำโฆษณาของสรรพคุณยาชนิดนั้นๆ
    4.การเลียนแบบคนใกล้ชิด เช่นบุคคลภายในครอบครัว เป็นต้น
    5.ขาดความระมัดระวังในการใช้ยา เพราะยาบางชนิดอาจทำให้เกิดการเสพติดได้โดยไม่รู้ตัว
    6.ขาดกฎหมาย มาตรการหรือบทลงโทษการซื้อขาย

1.6 ปัญหาและอันตรายจากการใช้ยา
อันตรายของยา อาจเกิดจากสาเหตุดังต่อไปนี้
   1. การใช้ยาเกินขนาด (Overdosage toxicity) เช่น
- กินแอสไพริน ขนาดมาก ๆ ทำให้เกิดภาวะเลือดเป็นกรด (Acidosis) ถึงตายได้
- กินพาราเซตามอลขนาดมาก ๆ อาจทำลายตับ เกิดภาวะตับวายเฉียบพลันถึงตายได้
   2. ผลข้างเคียงของยา (Side effect) ยาทุกตัวจะมีผลที่ไม่เป็นคุณหรือเป็นโทษ อยู่ควบคู่กับประโยชน์ของตัว ยาเสมอ เช่น
- ทำให้ระคายเคืองต่อกระเพาะ (กัดกระเพาะ) เป็นโรคกระเพาะ/แผลเพ็ปติกได้ เช่น ยาแอสไพริน , ยาต้านอักเสบที่ไม่ใช่สเตอรอยด์(NSAID) , สเตอรอยด์(Steroid) , รีเซอร์พีน(Reserpine)
- ทำให้หูหนวก เสียการทรงตัว หรือเป็นพิษต่อไต เช่น สเตรปโตไมชิน(Streptomycin), คานาไมซิน (Kanamycin) ทำให้เกิด
- ภาวะเม็ดเลือดขาวต่ำ (Agranulocytosis) เช่นไดไพโรน(Dipyrone), เฟนิลบิวตาโซน( Phenylbutazone ), ยารักษาคอพอกเป็นพิษ
  3. การแพ้ยา (Drug allergy หรือ Drug hypersensitivity) อาการแพ้ยาเป็นสิ่งที่พบได้บ่อย โดยเฉพาะในคนที่มีประวัติแพ้ยาชนิดใดชนิดหนึ่งมาก่อน และคนที่มีประวัติของโรคภูมิแพ้ (เช่น หืด, หวัดเรื้อรัง, ลมพิษ, ผื่นค้น) จะมีโอกาสแพ้ยามากกว่าคนทั่วไป ดังนั้นในการใช้ยาจึงควรระมัดระวังในเรื่องนี้ให้มาก ไม่ควรใช้อย่างพร่ำเพรือ หรือใช้เกินความจำเป็น
   4. การดื้อยา (Drug resistance) มักจะเกิดกับยาปฏิชีวนะที่ใช้กันอย่างผิด ๆ
    5. การใช้ยาในทางที่ผิดและการติดยา (Drug abuse และ Drug dependence) เช่น
- การติดยามอร์ฟีน, เฮโรอีน, ยากระตุ้นประสาท-แอมฟีตามีน (ยาม้า, ยาขยัน)
- การใช้ยาปฏิชีวนะเป็นยาลดไข้
- การใช้สเตอรอยด์เป็นยาลดไข้ หรือยาลดความอ้วน

    6. ปฏิกิริยาต่อกันของยา (Drug interaction) เกิดขึ้นเมื่อให้ยาเข้าไปในร่างกายมากกว่า 2 ตัวขึ้นไป พร้อมกัน ซึ่งอาจจะเสริมฤทธิ์กัน ทำให้มีผลในการรักษามากขึ้น หรือทำให้ฤทธิ์ยาแรงขึ้น หรือต้านฤทธิ์กัน ทำให้ผลการรักษาลดน้อยลงไป เช่น
- แอลกอฮอล์ (เหล้า, เบียร์) ถ้ากินพร้อมกับยานอนหลับ, ยาแก้แพ้ จะช่วยเสริมฤทธิ์การนอนหลับมากขึ้น
- แอลกอฮอล์ ถ้ากินพร้อมกับแอสไพริน(Aspirin) จะเสริมฤทธิ์การระคายเคืองต่อกระเพาะอาหาร
    7. การตอบสนองต่อยาในคนที่มีความผิดปกติทางกรรมพันธุ์ เช่น คนที่มีภาวะพร่องเอนไซม์จี-6-พีดี ซึ่งเกิดจากกรรมพันธุ์ ถ้ากินแอสไพริน(Aspirin) คลอแรมเฟนิคอล(chloramphenicol) ฟูราโซลิโดน(Furazolidone) ควินิน(quinine) ไพรมาควีน(primaquine) อาจทำให้เกิดโลหิตจางจากเม็ดเลือดแดงแตกได้ คนที่เป็นโรคเก๊าท์ ถ้ากิน ไทอาไซด์(thiazaide) หรือแอลกอฮอล์(เหล้า เบียร์) ก็อาจทำให้โรคกำเริบได้ คนที่เป็นเบาหวาน ถ้ากินสเตอรอยด์(Steroid) ไทอาไซด์(thiazaide) หรือยาเม็ดคุมกำเนิด ก็อาจทำให้น้ำตาลในเลือดสูงได้
1.7 แนวทางการป้องกันความเสี่ยงต่อการใช้ยา
    1. ต้องทำความรู้จักยาทั้งในแง่สรรพคุณ, ผลข้างเคียง, ขนาดที่ใช้, ระยะเวลาที่ใช้, ไม่ใช้อย่างเดาสุ่ม, อย่างพร่ำเพรื่อ
    2. ต้องทำความรู้จักกับคนไข้ที่จะใช้ยา ดูประวัติการแพ้ยา, โรคภูมิแพ้ในตัวคนไข้และครอบครัว, อาการซีดเหลืองที่เกิดขึ้นประจำ
    3. ควรศึกษาหาความรู้เพิ่มเติมจากการอ่านตำรา หรือสอบถามผู้รู้
    4. ควรแนะนำให้ชาวบ้านรู้จักโทษของยา หากจะเลือกซื้อยากินเอง ควรรู้จักยาชนิดนั้นๆให้ดี อย่าปล่อยให้ทางร้านขายยาจัดยาชุดที่ไม่รู้จักให้ เพราะในยาชุดมักมียาอันตรายผสมอยู่ด้วย
     5. ควรแนะนำให้ร้านขายยารับผิดชอบต่อการจ่ายยาให้แก่ลูกค้า ห้ามจ่ายยาอันตรายอย่างพร่ำเพรื่อ
     6. อย่าฉีดยาโดยไม่จำเป็น เลือกฉีดในรายที่อาการรุนแรงหรืออาเจียน กินไม่ได้ เพราะนอกจากจะเสี่ยงต่อการแพ้ยาแล้ว ยังอาจเสี่ยงต่อการติดเชื้อ เช่น เป็นฝีหัวเข็ม โรคตับอักเสบจากไวรัส หรือโรคเอดส์และอาจฉีดถูกเส้นประสาทได้อีกด้วย

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น